Tag Archives: Greek gods

เทพเฮเฟสตัส (Hephaestus)

เฮเฟสตัส(Hephaestus) หรือ วัลแคน(Vulcan)ในตำนานเทพของโรมัน เป็นเทพในตำนานเทพเจ้ากรีกที่รู้จักกันในนามเทพเจ้าแห่งไฟ ช่างฝีมือ ช่างตีเหล็ก ช่างไม้ งานโลหะ ประติมากรรม และภูเขาไฟ เขามักจะทำงานเกี่ยวข้องกับโรงตีเหล็กและถือว่าเป็นช่างตีเหล็กของเหล่าทวยเทพ เขาเป็นหนึ่งในสิบสองเทพเจ้าแห่งโอลิมเปียน เฮเฟสตัสเป็นบุตรชายของเทพซูสและเทพีเฮร่า แต่ก็มีบางตำนานที่บอกว่าเทพีเฮร่าเป็นผู้ให้กำเนิดเองแต่เพียงผู้เดียว มีพี่น้องร่วมสายเลือด 3 องค์ อาเรส ฮีบี และไอไลธีเอีย สัญลักษณ์ของเฮเฟสตัสคือค้อนของช่างตีเหล็ก ทั่งตีเหล็ก และคีมคู่หนึ่ง สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแสดงถึงบทบาทของเขาในฐานะช่างตีเหล็ก แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการสร้างสรรค์และการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย

กล่าวกันว่าเทพเฮเฟสตัสมีร่างกายอ่อนแอและมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งทำให้เทพีเฮร่าต้องโยนเขาลงจากภูเขาโอลิมปัส บางตำนานเขาถูกลงโดยแม่ของเขาคือเทพีเฮร่าทำให้ล้มแล้วหล่นลงลงทำให้ร่างกายเขาพิการ การล้มครั้งนี้มักถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุของอาการง่อยของเขา โดยอาการบาดเจ็บอาจทำให้อาการของเขาแย่ลง เขาล้มลงหนึ่งวันทั้งคืนก่อนที่จะตกลงสู่ทะเล ซึ่งเขาได้รับการช่วยเหลือจาก Thetis และ Eurynome ซึ่งเลี้ยงดูเขาไว้ในถ้ำ เพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับความเมตตาของพวกเขา ต่อมาเทพเฮเฟสตัสจึงได้สร้างสรรค์ของขวัญมากมายให้พวกเขาทั้งสอง

แม้จะมีความท้าทายทางกายภาพเทพเฮเฟสตัสก็สามารถเป็นช่างฝีมือที่ประสบความสำเร็จ เพราะเขาประดิษฐ์สิ่งของที่น่าทึ่งมากมายสำหรับเหล่าทวยเทพแห่งโอลิมปัสรวมถึงสายฟ้าของซูส เอจิสแห่งเอเธน่า รถม้าของเฮลิออส โซ่ล่ามโพรมิทีอุส ธนูของอะพอลโล่และอาเทมิส และอาวุธและชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์อื่นๆอีกมากมาย แต่ผลงานที่โด่งดังที่สุดชิ้นหนึ่งของเขาคือ แพนโดร่าผู้หญิงคนแรกที่เขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นการลงโทษมนุษยชาติ เฮเฟสตัสมีโรงตีเหล็กและโรงปฏิบัติงานอันงดงาม ตั้งอยู่ใต้ภูเขาโอลิมปัสหรือบนเกาะเลมนอส(Lemnos) ในโรงงานของเขาได้ผลิตไอเท็มที่ทรงพลังและประณีต รวมถึงอาวุธ ชุดเกราะ และสิ่งประดิษฐ์ อื่นๆ สำหรับเทพเจ้า โดยมีลูกมือในโรงปฏิบัติงานคือเหล่ายักษ์ไซคลอปส์(Cyclops) ยักษ์ที่มีลูกตาไฟซึ่งเป็นบุตรของเทพอูรานอสและเทพีไกอา

เทพเฮเฟสตัสแต่งงานกับเทพีอะโฟรไดทิ(Aphrodite) เทพีแห่งความงามและความรัก การจับคู่ของทั้งคู่ดูไม่เขากันเพราะเทพซูสเป็นผู้จับคู่ให้ทั้งสอง เพื่อป้องกันความขัดแย้งของหล่าวทวยเทพเรื่องต้องการที่จะเป็นคู่ครองของเทพีอะโฟรไดทิ เรื่องเล่าที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งของเทพเฮเฟสตัสเกี่ยวข้องกับการนอกใจของภรรยาเขา เทพีอะโฟรไดทิกับเทพอาเรส ตัวเทพเฮเฟสตัสเองพอรู้ระแคะระคายมาสักพักแล้วแต่ยังหาหลักฐานคาหนังคาเขาไม่ได้ เมื่อวันนึ่งเทพเฮลิออส(Helios)แจ้งข่าวการนอกใจให้เขาทราบ เพื่อทำการแก้แค้นเทพเฮเฟสตัสได้สร้างตาข่ายอย่างดีที่ไม่มีวันแตกหักและติดกับดักของคู่รัก จากนั้นเขาก็ลากอวนไปที่ภูเขาโอลิมปัสเพื่อเห็นพวกเขานอนอยู่บนเตียง เทพเฮเฟสตัสได้หว่านแหจับทั้งคู่แล้วลากทั้งสองออกจากเตียงเพื่อไปประจานต่อหน้าเทพองค์อื่น พระองค์ทำเช่นนี้เพื่อให้พวกเขาถูกหัวเราะเยาะและเยาะเย้ย ความอับอายในที่สาธารณะของอะโพรไดทิและอาเรสกลายเป็นตัวตลกขบขันสำหรับเหล่าทวยเทพ การแต่งงานของเทพเฮเฟสตัสกับเทพีอะโฟรไดทินั้นไม่ได้มีลูกด้วยกัน แต่กล่าวกันว่าเทพเฮเฟสตัสก็มีคู่รักที่เป็นมนุษย์และเป็นเทพจำนวนมากและยังมีลูกๆอีกจำนวนหนึ่ง

เทพเฮเฟสตัสมีบทบาทสำคัญในลำดับชั้นของเทพนิยายกรีก และคุณลักษณะของเขาเป็นสัญลักษณะของเทพองค์สำคัญของงานฝีมือ งานเหล็ก และเทคโนโลยีต่างๆในสังคมกรีกโบราณ

เทพอาเรส(Ares)

เทพอาเรส(Ares) หรือมาร์ส(Mars) ในอารยธรรมโรมัน เทพเจ้าสงคราม จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และความกล้าหาญของอารยธรรมกรีกโบราณ  อาเรสเป็นหนึ่งในพระเจ้าทั้ง 12 ของโอลิมเปียน บุตรคนโตของเพทซูส(zeus) และเทพีเฮร่า(Hera) มีน้อง 3 คน คือ ไอไลธีเอีย(Eileithyia) ฮีบี(Hebe) และเฮเฟตัส(Hephaestus) อาเรสเป็นเทพที่บ้าบิ่น กระหายเลือด และโหดร้าย เป็นตัวแทนของแง่มุมที่เลวร้ายและน่ากลัวที่สุด อาเรสจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมและสักการะบูชามากนักในอารยธรรมกรีก แม้กระทั่งบิดาของเทพอาเรส เทพซูสก็คงเนรเทศเขาไปที่หลุมแห่งทาทารัสถ้าเขาไม่ใช่เลือดเนื้อของซุสเอง

โดยทั่วไปแล้วเทพอาเรสจะถูกพรรณนาว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามและความหุนหันพลันแล่น สนุกกับความวุ่นวายและการทำลายล้างของสงคราม อาเรสมักปรากฏในงานศิลปะและวรรณกรรมโดยสวมชุดเกราะและถือหอกหรือดาบ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของอาเรสได้แก่ นกแร้งและสุนัขซึ่งเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของสงคราม อาเรสนั้นเป็นเทพแห่งสงครามเช่นเดียวกับเทพีอธีนาแต่เทพีอธีนาจะได้รับการยกย่องและบูชามากว่าเพราะเทพีอธีนามีความาสามารถและโดดเด่นทางด้านความฉลาดและสติปัญญา

เทพอาเรสเป็นที่รู้จักจากความสัมพันธ์โรแมนติกกับเทพีอะโฟรไดทิ(Aphrodite)เทพีแห่งความรักและความงาม อาเรสได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในเทพที่มีความหล่อเหลาและสง่างาม แต่เนื่องด้วยอะโฟรไดทิได้สมรสกับกับเทพเฮเฟตัสแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเป็นความสัมพันธ์แบบชู้สาว ความรักของทั้งคู่ทำให้มีบุตรธิดาได้แก่ โฟบอส(Phobos)เทพแห่งความกลัว, ดีมอส(Deimos)เทพแห่งความหวาดกลัว, ฮาร์โมเสีย(Harmonia)เทพแห่งความสมัคคี และอีรอส(Eros)เทพแห่งความรัก ทั้งสองมักแอบพรอดรักกันเวลาเทพเฮเฟตัลงจากโอลิมปัสในช่วงเวลากลางคืน จนวันหนึ่งเทพเฮเฟตัสผู้เป็นพระสวามีระแคะระคายเรื่องทั้งสองคบชู้กัน เฮเฟตัสรอจนถึงเวลาที่ทั้งคู่พลาด จนวันนั้นก็มาถึงพระองค์ได้นำเอาร่างแหที่พระองค์สร้างขึ้นมาและไปยังที่นั่นแล้วเหวี่ยงแหไปครอบร่างทั้งสองพระองค์ไว้แล้วลากออมาที่แจ้งเพื่อเป็นการประจานให้ได้อับอายและเป็นเรื่องขบขันให้กับบรรดาเทพได้หัวเราะเยอะกัน เมื่อพอเทพเฮเฟตัสพอใจแล้วจึงปล่อยทั้งสองพระองค์ไป ในสงครามเมืองทรอย(Trojan War)เทพอาเรสก็เลือกที่จะอยู่ข้างเทพีอะโฟรไดทิ เทพอาเรสก็ตามพระทัยนางเสมอ จึงเลือกช่วยเหลือทหารฝั่งเมืองทรอย

โดยรวมแล้วอาเรสมีบทบาทสำคัญในเทพนิยายกรีกในฐานะเทพเจ้าที่เป็นตัวแทนของสงครามที่โหดร้ายและไม่อาจควาดเดาได้ แต่ส่วนใหญ่อาเรสไม่ได้มีความสำคัญอะไรดังเช่นเทพเจ้าองค์อื่นๆ

เทพีเฮสเทีย (Hestia)

เทพีเฮสเทีย(Hestia) หรือเทพีเวสต้า(Vesta) ในอารยธรรมของโรมัน เป็นเทพีพรหมจรรย์ และเตาไฟในครัวเรือนในศาสนาและเทพนิยายกรีกโบราณ นางเป็นบุตรสาวคนโตของไททันโครนอสและรีอา เป็นพี่สาวของฮาเดส โพไซดอน ซูส เฮร่า และดีมีเทอร์ เป็นลูกคนแรกที่ถูกโครนอสผู้เป็นพ่อกลืนลงท้อง เมื่อซูสมาปลดปล่อยพี่น้องเฮสเทียในฐานะที่เป็นคนแรกที่ถูกกลืนเข้าไป เธอก็เป็นคนสุดท้ายที่ถูกนำออกมา และได้รับการชื่อว่าลูกคนโตและลูกคนเล็กที่สุดในบรรดาทั้ง 6 คน เฮสเทียเป็นเทพีที่มีความเป็นอยู่เรียบง่าย ไม่มีความโลดโผนเหมือนคนอื่นๆ และไม่ได้เป็นหนึ่งใน 12 เทพและเทพีแห่งโอลิมปัสที่สำคัญของวิหารแพนธีออนของกรีกเพราะนางได้สละบัลลังก์ให้กับเทพไดโอนิซูส(Dionysus)

เฮสเทียเป็นเทพีแห่งเตาไฟ บ้าน และครอบครัว ในสมัยกรีกโบราณเตาไฟเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตในบ้านที่ซึ่งครอบครัวจะมารวมตัวกันเพื่อแบ่งปันอาหารและประกอบพิธีกรรม บ้านไหนที่ไฟยังคงลุกอยู่มันจะเป็นสัญลักษณ์ของการมีบทบาทของเฮสเทียในการเป็นประธานของกิจกรรมในบ้าน ความอบอุ่น ความปลอดภัยของครัวเรือน และความเป็นอยู่ที่ดี เฮสเทียจะได้รับเกรียรติให้เป็นผู้พิทักษ์ชีวตในบ้าน ชื่อของนางมาจากคำภาษากรีก “เฮสเทีย” หมายถึงเตาไฟหรือเตาผิง

โดยทั่วไปแล้วเฮสเทียจะถูกมองว่าเป็นเทพธิดาที่ถ่อมตัว อ่อนโ่ยน และสง่างาม สวมผ้าคลุมหน้าแต่งกายสุภาพเรียบร้อย นั่งเกาอี้ไม้เรียบง่ายหรือยืนข้างเตาด้วยท่าทางที่เรียบร้อย และเงียบสงบขณะดูแลกองไฟ เฮสเทียได้รับความเคารพนับถือในทุกครัวเรือน และครอบครัวจะสวดมนต์และเครื่องบูชาให้เธอก่อนรับประทานอาหารและงานสำคัญอื่นๆ

ในบริบททางศาสนาที่กว้างกว่า เฮสเทียถือเป็นหนึ่งในเทพเจ้าองค์แรกและองค์สุดท้ายของเทพเจ้าโอลิมเปีย เมื่อเทพเจ้าถูกแบ่งออกเป็นสามชั่วอายุ เฮสเทีย ซูส ฮาเดส เฮรา เดมีเทอร์ และโพไซดอน อยู่ในยุคเริ่มแรกของเทพโอลิมเปียแห่งเทือกเขาโอลิปัส เฮสเทียเป็นหนึ่งในสามเทพีพรหมจารี ไม่เคยแต่งงานหรือมีลูกเลยโดยมีเทพีเอเธน่า(Athena) และเทพีอาร์เทมิส(Artemis) ด้วย โพไซดอนและอพอลโลต้องการแต่งงานกับนางแต่เฮสเทียก็ปฏิเสธทั้งคู่ ซูสให้สิทธิ์แกนางในการคงความเป็นพรหมจารีชั่วนิรันดร์

แม้จะเป็นเทพีผู้มีความสำคัญ แต่เฮสเทียก็ไม่ได้มีบทบาทสำคัญในตำนานมากมาย ความสำคัญของเธออยู่ที่บทบาทของเธอในฐานะผู้พิทักษ์บ้านและครอบครัว โดยเน้นถึงคุณค่าของครอบครัวและชีวิตในบ้านของสังคมกรีกโบราณ

เทพฮาเดส (Hades)

ฮาเดส(Hades) หรือพลูโต(Pluto)ในความเชื่อของชาวโรมัน คือหนึ่งในเทพมหาอำนาจอันสำคัญของอารยธรรมกรีกโบราณ และเป็นที่รู้จักในนามกษัตริย์แห่งยมโลก และคุกทาทารัส(Tartarus) เทพเจ้าแห่งความตายและความร่ำรวย ฮาเดส เป็นลูกชายคนโตของไททันโครนอสและรีอา มีพี่สาวคือ เฮสเทีย ดีมีเทอ และเฮร่า ยังมีน้องชายอีก 2 องค์คือ โพไซดอน และซูส โดยถูกกลืนไปยังท้องของไททันโครนอสผู้เป็นพ่อทันทีที่เกิดมา จนกระทั่งซูสมาปลดปล่อยพี่น้องทั้งหมดจากท้องของโครนัสผู่้เป็นพ่อ ซูส ฮาเดส และโพไซดอนร่วมมือกันเอาชนะพ่อของตน แล้วขึ้นมามีอำนาจกันซึ่งทั้งสามคนได้แบ่งเขตกันปกครอง ซูสได้ปกครองท้องฟ้าและสวรรค์ โพไซดอนได้ควบคุมทะเล และฮาเดสได้ปกครองยมโลกสถานที่ที่วิญญาณมนุษย์ทุกคนต้องมาหลังจากตาย นอกจากนี้ฮาเดสยังดูแลนรกทาร์ทารัสซึ่งเป็นที่คุมขังเหล่าเทพเจ้าที่โดนลงทันจากการกบฏต่างๆ อย่างพวกไททัน ผู้กระทำผิดร้ายแรงต่อเทพเจ้าทั้งหลาย

ฮาเดสนอกจากจะรู้จักกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งยมโลกและความตายแล้ว ยังรู้จักในนามเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง โดยเฉพาะความมั่งคั่งจากของที่อยู่ใต้ดิน เช่น โลหะมีค่า อัญมณี เป็นต้น ฮาเดสมักจะถูกมองว่าเป็นเทพเจ้าผู้เข้ม่งวด และความน่าเกรงขาม เพราะเขาเกี่ยวข้องกับความตาย การตัดสินชะตากรรมของเหลาวิญญาณในชีวิตหลังความตาย ในตำนานกรีกฮาเดสมักถูกมองว่าเป็นร่างที่มืดมนสวมมงกุฎและถือคทา มีหมาเซอร์เบอรัส(Cerberus)อยู่เคียงข้าง โดยปกติแล้วฮาเดสไม่ได้แสดงภาพลักษณ์ในเชิงบวกเหมือนเทพองค์อื่นๆ แต่เขาก็เป็นบุคคลสำคัญและมีบทบาทสำคัญในเรื่องราวของตำนานและความเชื่อของกรีกโบราณ

เนื่องจากฮาเดสแทบไม่ได้ออกจากอาณาจักร์ของเขา เรื่องราวความพิโรธของเขาจึงแพร่กระจายไปทั่วกรีกโบราณซึงทำให้ฮาเดสกลายเป็นบุคคลที่น่ากลัวของมนุษย์จนทำให้ไม่กล้าแม้แต่เอ่ยชื่อของเขาและไม่ใคร่จะเป็นมิตรเท่าใด ด้วยยมโลกที่เป็นสถานที่มืดมิดอยู่ใต้พื้นดินแสงอาทิตย์ส่องให้ถึง นอกจากนี้ฮาเดสเองก็หน้าตาดูดุร้าย น่ากลัว และเย็นชา เพราะต้องตัดสินชะตากรรมของดวงวิญญาณต้องทำหน้าตาเย็นชาและดุดันเพื่อแสดงความเที่ยงธรรม ทำให้ไม่มีใครสนใจจะเป็นชายาของเจ้าแห่งย่มโลกเลย ไม่ว่าจะไปเกี้ยวพาราสีใครก็ตาม

จนกระทั่งฮาเดสได้พบกับเพอร์เซโฟเน่(Persephone) บุตรสาวของดีมีเทอร์เทพีแห่งเกษตรกรรมและความอุดมสมบูรณ์ ก็ได้หลงรักในความงดงามและสดใจจึงตกหลุมรักนางทันที แต่ถ้าให้ไปเกี้ยวพาราสีแบบที่ผ่านมานางก็ต้องปฏฺิเสธเป็นแน่ ฮาเดสจึงลักพาตัวเพอร์เซโพเน่และพาตัวเธอไปยังยมโ่ลกเพื่อเป็นชายาของตน เมื่อดีมีเทอร์รู้ก็เสียใจมากกับการหายตัวไปของบุตรสาว นางจึงเป็นทุกข์ระทมทำให้แผ่นดินแห้งแล้ง และอดอยากไปทั่วแผ่นดินเพราะความโศกเศร้าของนาง ซูส ราชาแห่งสวรรค์และลุงของเพอร์เซโฟเน่(บางแหล่งก็บอกว่าเป็นลูกสาวของซูสกับดีมีเทอร์)ได้เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ โดยการส่งเฮอร์มีสผู้ส่งสารของสวรรค์ไปยังยมโลกเพื่อเจรจากับฮาเดส ในที่สุดก็สามารถประนีประนอมได้ดังนี้ ถ้าเพอร์เซโฟเน่ไม่ได้กินของอะไรในยมโลกนางสามารถกลับไปอยู่กับแม่ของนางได้ แต่นางได้กินเมล็ดของลูกทับทิมไปทำให้นางไม่สามารถกลับไปอยู่กับแม่และเป็นคนของยมโลกตลอดกาล จากการเจรจาของเฮอร์มีสทำให้ได้ผลดังนี้ เพอร์เซโฟเน่จะใช้เวลาสองในสามของปีอยู่กับมาดารของนางจะฤดูใบไม้ผลิทำให้ดอกผลงดงามทั่วอาณาจักร และใช้เวลาส่วนหนึ่งในยมโลกทำให้ดีมีเทอร์เสียใจในช่วงนั้นจึงเกิดฤดูหนาว แล้วก็วนเวียนแบบนี้ตลอดไป

ในกรีซ รูปลัทธิของฮาเดสปราฏในวิหารไม่กี่แห่ง แต่เขาแทบไม่มีวิหารของเองเลยบางที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดของเขาอาจเป็น “วิหารแห่งความตาย” (Oracle of the Dead) ในเมือง Thesprotia ทางตอนเหนือของกรีก ซึ่งว่ากันว่าอยู่ใ่กล้ทางเข้าของยมโลก ที่นี่ผู้สักการะจะรวมตัวกันเพื่อพูดคุยกับบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไป วิหารที่สำคัญอีกแห่งของฮาเดสตั้งอยู่ในเอลิสในเพโลพอนนีส แต่เปิดเพียงปีละครั้งเท่านั้น

เทพีดีมีเทอร์ (Demeter)

ดีมีเทอร์(Demeter) หรือ เซเรส(Ceres)เทพเจ้าในความเชื่อของโรมัน ได้รับขนานนามว่าเทพีแห่งเกษตรกรรม ความอุดมสมบูรณ์ และการเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับวงจรชีวิต การเติบโตและฤดูกาลอีกด้วย ในตำนานเทพเจ้ากรีกดีมีเทอร์เป็นบุตรสาวของไททันโครนัสและรีอา เป็นพี่สาวของซูส ฮาเดส โพไซดอน เฮร่า และเฮสเทีย

เทพีดีมีเทอร์มันจะถูกพรรณนาว่าเป็นหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่ บางครั้งก็สวมมงกุฎด้วยรวงข้าวหรือถือฟ่อนข้าวสาลีไว้ในมือ เทพีดีมีเทอร์ยังเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ซึงนางเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ การบูชาดีมีเทอร์แพร่หลายในสมัยกรีกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนเกษตรกรรมที่ผู้คนอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน มีเทศกาลจัดขึ้นเพื่อเทพีดีมีเทอร์และลูกสาวของนาง

ตำนานที่โด่งดังที่สุดเกี่ยวกับเทพีดีมีเทอร์ เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวลูกสาวของนางนามว่า เพอร์เซโฟเน่(Persephone)โดยเทพฮาเดส(Hades)เทพเจ้าแห่งยมโลก เทพีดีมีเทอร์ตามหาลูกสาวของนางไปทั่วทุกดินแดนแต่ก็ไม่พบ ด้วยความโศกเศร้าของนางทำให้โลกสิ่งมีชีวิตเริ่มหยุดการเจริญเติบโตและตาย โลกอาจต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ซูสได้ส่งเทพเฮอร์เมส(Hermes)ไปยังยมโลกเพื่อให้ฮาเดสส่งตัวเพอร์เซโฟเน่กลับมา ฮาเดสตกลงที่จะปล่อยนางหากนางไม่ได้กินอะไรเลยในขณะที่อยู่ในยมโลก แต่เพอร์เซโฟเน่ได้กินเมล็ดทับทิมจำนวนเล็กน้อยทำให้นางไม่สามารถแยกออกจากยมโลกได้ ในที่สุดได้มีการประนีประนอมให้เพอร์เซโฟเน่ได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งกับเทพีดีมีเทอร์ผู้เป็นมารดาซึ่งทำให้ฤดูกาลบนโลกเป็นฤดูใบไม้ผลิพืชพันธุ์งอกงามและฤดูร้อน เมื่อเฟอร์เซโฟเน่กลับมายังยมโลกเทพีดีมีเทอร์ก็คร่ำครวญถึงลูกสาวจึงทำให้เกิดฤดูหนาว

เช่นเดียวกับเทพเจ้าของโอลิมเปียดีมีเทอร์เป็นอมตะและทรงพลังมาก เธอเป็นผู้ควบคุมการเก็บเกี่ยวและการปลูกธัญพืช เทพีดีมีเทอร์สามารถทำให้พืชเติบโต หรือไม่เติบโตได้ และควบคุมสภาพฤดูกาล นอกจากนี้ยังสามารถควบคุณสภาพอากาศและทำให้ผู้คนหิวโหยได้

เทพโพไซดอน (Poseidon)

โพไซดอน(Poseidon) หรือ เนปจูน(Neptune)

เทพเจ้าในความเชื่อของชาวโรมัน เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล แผ่นดินไหว และม้า โพไซดอนเป็นผู้พิทักษ์ของนักเดินทางเรือ ผู้พิทักษ์เมืองและอาณานิคมของกรีกหลายแห่ง โพไซดอนคือหนึ่งในเทพเจ้าที่มีอำนาจของโอลิมปัสพร้อมด้วยซูสและฮาเดส โพไซดอนเป็นบุตรของไททันโครนอสและรีอาเช่นเดียวกับพี่น้องคนอื่นๆถูกโครนัสผู้เป็นพ่อกลืนเข้าไปในท้องตั้งแต่เกิด

เมื่อออกมาจากท้องของโครนอสบิดาของตน โพไซดอนก็ช่วยซูสผู้เป็นน้องชายโค่นล้มอำนาจของบิดาตนจนได้รับชัยชนะ เมื่อสงครามสงบและเทพทุกองค์มั่นคงแล้ว ซูสก็ได้แบ่งอำจานให้พี่ๆ ในส่วนของโพไซดอสนั้นได้รับให้ดูแลทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและแห่งน้ำทุกแห่ง โดยอำนาจดังกล่าวถูกแบ่งมาจากไททันโอเชียชัสผู้ดูแลท้องน้ำทั้งหมด ซูสจริงแบ่งอำนาจส่วนหนึ่งให้กับโพไซดอน ได้แก่ทะเลเมดิเตอร์เลเนียน ทะเลดำ และแม่น้ำต่างๆ บนแผ่นดิน อยู่ในอำนาจการดูแลของโพไซดอนทั้งไม่ ไม่ว่าเทพ เทพี นางอัปสรแห่งท้องทะเล สัตว์และอสุรกาย ให้ความเคารพยำเกรงโพไซดอนทั้งหมด

โพไซดอนมักจะถูกพรรณนาเป็นชายมีหนวดเคราในมือถือตรีศูส นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักกันว่า อารมณ์แปรปรวนและเรื่องราวมากมายในตำนานเทพเจ้ากรีกเกี่ยวข้องกับความโกรธเกรี้ยวและความพยาบาท ในฐานะเทพเจ้าแห่งท้องทะเลโพไซดอนมักจะได้รับการบูชาจากกะลาสี ชาวประมงและคนอื่นๆ ที่อาศัยท้องทะเลในการดำรงชีวิต โพไซดอนยังได้รับความเคารพในฐานะผู้สร้างม้าและพิทักษ์ของม้า

โพไซดอนแต่งงานกับนางแอมฟิไทรติ(Amphitrite) นางเป็นหนึ่งในนางอัปสรแห่งเนเรอิด บุตรสาวของเนรีอุส(Nereus)และโดริส(Doris) เนรีอุสต้องการยกแอมพิไทรติเป็นมเหสีของโพไซดอน แต่นางไม่ยินยอมจึงได้หนีจากบ้านมาอยู่ที่ภูเขาแอตลาส(Atlas mountains) โพไซดอนส่งเหล่าบริวารไปค้นหานางแอมฟิไทรติ ในที่สุดก็มีโ่ลมาตัวหนึ่งนามเดลฟินัส(Delphinus)ไปเจอนางเข้าจึงหว่านล้อมนานา ทำให้นางใจอ่อนยอมกลับไปแต่งงานกับโพไซดอน

เทพซูส(Zeus)

      ซูส(Zeus)หรือในโรมันเรียกว่าจูปิเตอร์(Jupiter) เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า ผู้ปกป้องเหล่าเทพและเทือกเขาโอลิมปัส(Olympus) พ่อของเหล่าเทพและมนุษย์ ซูสมักจะถูกพรรณนาในรูปร่างของชายชรามีเคราถือสายฟ้า สัญญาลักษณ์ของซูสประกอบไปด้วย นกอินทรีย์ ต้นโอ๊ค วัว คทา และตาชั่ง

          ซูสเป็นลูกชายคนเล็กสุดของไททันนามโครนอสและรีอา เนื่องด้วยคำสาปของโครนอสที่ว่าจะถูกโค้นล้มอำนาจจากลูกของตัวเอง เมื่อรีอาเกิดลูกมาเมื่อไหร่โคนอสจะมากลืนลูกๆลงท้องคนแล้วคนเล่า จนกระทั่งมาถึงซูสรีอาได้ตัดสินใจที่จะช่วยลูกของนางให้มีชีวิตรอด เมื่อคลอดซูสนางได้นำซูสไปส่งให้ไกอาผู้เป็นมารดา และเอาผ้าห่อก้อนหินให้โครนัสที่ไม่ทันมองก็กินก้อนหินที่นึกว่าเป็นลูกลงท้องไป ซูสถูกนำไปเลี้ยงดูที่ถ้ำบนเกาะครีต โดยมีนิมฟ์(Nymph)ในตำนานเทพเจ้ากรีกคือนางไม้ที่นั่นมีแพะตัวเมี่ยนาม แอมันเทีย(Amalthaea) กับนางมีลิสสา(Mellissa) และได้รับการปกป้องจากกลุ่ม Curetes(นักรบหนุ่ม)เพื่ออำพรางเสียซูสเติบเติมจนเป็นผู้ใหญ่ เมือซูลเติบโตเป็นใหญ่ถึงเวลาที่จะทำศึกได้แล้ว เขาได้นำการจลาจลต่อเหล้าไททันทั้งหลาย โดยรีอาได้หลอกให้โครนอสกินยาสำรอกบุตรที่เคยกลืนไปออกมา โดยเทพเจ้าที่ถูกกลืนไปยังไม่ตายแถมยังโตเป็นผู้ใหญ่หมดแล้ว แล้วก็ได้ร่วมมือกันโค่นอำนาจโครนัสลงด้วยการช่วยกันของพี่ๆ คือ ฮาเดสและโพไซดอน

         เมื่อซูสทำสงครามเสร็จได้รบชนะ และได้ช่วยพี่ๆออกมาได้ ซูสก็ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นราชาแห่งเทพเจ้าทั้งปวง ขึ้นครองบัลลังก์บนยอดเขาโอลิมปัส

 

ตำนานจุดเริ่มต้นของเทพเจ้าอารยธรรมกรีก

          ตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณในบรรพกาลก่อนมีเทพชูสแห่งเทือกเขาโอลิมปัส จักรวาลนั้นว่างเปล่าเวิ้งว้าง มองไปไหนก็มีแต่ความมืดมนไม่มีที่สิ้นสุด ตามความเชื่อเทพเจ้าไม่ได้สร้าง่จักรวาลแต่จักรวาลสร้างทวยเทพขึ้นมาทีละองค์ ณ ที่นั้นได้กำเนิดเทพเคออส (Chaos) จากความว่างเปล่า เคออสถือเป็นเทพองค์แรก ซึ่งมีชายานามนิกช์ (Nyx) มีบุตรด้วยกันนาม เอรีบัส (Erebus) ด้วยความที่เอรีบัส (Erebus) ซึ่งเป็นเทพแห่งความมืดอยากมีอำนาจจึงขับไรเคออสไปเพื่อขึ้นครองอำนาจเอง แล้วยกนิกช์ผู้เป็นมารดาของตัวเป็นชายา ทั้งสองให้กำเนิดบุตรและธิดาสององค์ คือ อีเธอร์ (Aether) เทวีแห่งแสงสว่าง และเฮเมอร่า (Hemera) เทพแห่งกลางวัน หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้เจริญรอยตามโดยการขับไล่บิดามารดาของทั้งสองออกไปและขึ้นครองอำนาจแทน เมื่อพิภพ หรือ ไกอา (Gaia) เทพีแห่งโลกได้กำเนิดขึ้น และหลังไกอาก็ได้ให้กำเนิดอูเรนัส (Uranus) เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและสวรรค์ เมื่อแห่งโลกและสวรรค์มาเจอกัน เมื่อทั้งคู่ใช้อำนาจก็ทำการขับไล่อีเธอร์และเฮเมอร่าผู้ให้กำเนิดออกไป ทั้งสองก็ได้สร้างกายจากธรรมชาติมาเป็นบุคคลแล้วก็ได้แต่งงานกัน ทั้งสองอาศัยอยู่ ณ เทือกเขาโอลิมปัสอย่างมีความสุข

          ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทั้งสองได้ให้กำเนิดลูกเรียกว่า ไททัน(Titans) มีลูกด้วยกัน 12 คนเป็นชาย 6คน และเป็นหญิง 6 คน คือ โอเชียนัส(Oceanus), โคไออัส(Coeus), ไครอัส(Crius),     ไฮเพอเรียน(Hyperion), ไออาพีทัส(Iapetus), ไธอา(Theia), รีอา(Rhea), ธีมิส(Themis), นีโมซินี(Mnemosyn), ฟีบี(Phoebe), ธีทิส(Tethys), และโครนอส(Cronus) ยิ่งนานวันเหล่าลูกๆไททันเริ่มเติบโตขึ้น และใหญ่โตกันทุกคน ทำให้อูเรนัสเริ่มหวันเกรงกลัวจะมีประวัติศาสตร์ซ้ำรอย จึงได้จับเหล่าลูกๆไททันของตนนำลงไปขังไว้ในทาทารัส(Tartatrus) จากนั้นไกอาก็ได้ให้กำเนิดได้ลูกมาอีก ได้แก่ ไซครอบ(cyclopes)ซึ่งมีลูกตาอันเดียวอยู่ตรงกลางทั้งหมด3ตนนามว่า บรอนทีส(brontes), เทอโรฟี(Steropes), และอาร์จีส(Arges) แล้วยังได้ให้กำเนิด ยักษ์ที่มีห้าสิบหัวมีแขนหนึ่งร้อยแขน(Hecatocheies the Hunderd-Handers) สามตน ได้แก่ คอตทัส(Cottus), เบรียรูส(Briareus), และไกจีส(Gyges) แล้วทั้งหมดก็ถูกโยนลงไปในทาทารัสอีกเช่นกัน

          ไกอาโกรธแค้นที่อูเรนัสที่ได้ทำการขังลูกๆของเธอไว้ในใต้พิภพหรือทาทารัส(Tartarus) จึงยุยงให้ลูกๆทำการโค่นบัลลังของพ่อแต่ไม่มีลูกคนไหนกล้าก่อกบฏยกเว้นโครนอสที่กล้าเสนอตัว ภายใต้การนำของโครนอสได้ทำการโค่นล้มยูเรนัสเป็นการสำเร็จจึงได้สถาปนาตัวเองเป็นผู้นำ อูรานอสที่ใกล้จะดับสูญรู้สึกเจ็บแค้นเป็นอย่างมากที่โดนโค่นล้มจากลูกของตัวเอง จึงได้สาปโครนอสให้ถูกสังหารโดยลูกๆ ของโครนอสเอง เช่นเดียวกับที่ทำไว้กับอูรานอส หลังจากที่โครนอสได้เอาชนะยูรานอสได้ก็ได้ช่วยเหลือพี่ๆ และน้องๆ ของตน ขึ้นมาจากทาทารัส ทุกคนได้ซาบซึ่งกับสิ่งที่โครนอสทำจึงได้ยกให้โครนอสเป็นใหญ่ที่สุด และปกครองเทือกเขาโอลิมปัส หลังจากโค่นล้มบิดาของตนโครนอสก็ได้แต่งงานกับพี่สาวตัวเองนามว่ารีอา แต่เมื่อไหร่ที่รีอาตั้งครรภ์แล้วคลอดลูกเพราะกลัวคำสาปของอูเรสัสผู้เป็นพ่อ ลูกคนแล้วคนเล่าโครนอสก็ได้ทำการกลืนลงท้องเข้าไปหมด จนกระทั่งมาถึงซูส   รีอาแอบใส่ก้อนหินเข้าไปในห่อผ้าแทนซูสก่อนที่โครนอสจะมากลืนลูกเข้าไปแบบไม่ทันมอง ทำให้ซูสรอดมาจนถึงศึกโค่นล้มโครนอสและได้ปล่อยพี่ๆของตนได้แก่ เฮสเทีย(Hestia), ดีมีเทอร์(Demeter), เฮร่า(Hera), ฮาเดส(Hades), โพไซดอน(Poseidon) ออกมาจากท้องของโครนอส เมื่อชนะสงครามแล้วก็สถาปนาตัวเองเป็นเทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์ เทือกเขาโอลิมปัส และเหล่าทวยเทพ